มีคนชวนให้ทำงานขายประกันชีวิตเต็มเวลา เสี่ยงหรือไม่

                    ควรที่จะทำงานขายประกันในรูปแบบไหนถึงจะดี เช่นขายแบบเต็มเวลา (Full Time) หรือจะขายในช่วงที่ว่างจากการทำงานอื่น ๆ ที่เรียกว่าเป็นแบบ Part Time ถ้าจะวิเคราะห์กันให้ลึก ๆ ถึงสาเหตุที่มีผู้คนถามเรื่องนี้กันมามากนั้น ส่วนใหญ่มาจากความไม่มั่นใจว่าตนเองนั้นจะทำงานขายประกันชีวิตได้ดีเพียงใด จะขายได้หรือไม่ จะขายให้ใคร รายได้จะพอเลี้ยงตนเองได้หรือไม่เมื่อเทียบกับอาชีพอื่น ๆ จึงมีความกังวลว่าถ้าทำงานขายได้ไม่ดี ก็จะทำให้ขาดรายได้และที่สำคัญคือต้องมาหางานใหม่อีก ทำให้มีความยุ่งยากพอควร บางคนจึงเลือกที่จะทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน เรียกได้ว่าเพื่อสำรองความล้มเหลว คือถ้าขายไม่ได้ ก็ยังมีรายได้ทางอื่นเข้ามาช่วยอีกทางหนึ่ง

ก่อนที่จะมาคิดถึงว่าจะทำงานขายประกันชีวิตแบบใดดีนั้น อยากให้กลับมาตั้งต้นที่จุดเริ่มของความคิดเสียก่อน เช่นอาจจะทำเช็ครายการออกมาว่าตนเองนั้นมีความรู้สึกอย่าง ไรกับงานขาย ไม่ใช่ว่าเห็นคนอื่นเขาทำแล้วร่ำรวย ก็อยากทำบ้าง แต่ตนเองกับไม่ถนัด ไม่รักที่จะพบปะผู้คน ก็ไม่มีประโยชน์อะไร  จึงทำให้คน เข้า-ออก ในวงการขายกันอย่างหัวกระไดบ้านไม่แห้ง จะมีความแตกต่างจากตัวแทนที่มีอายุการทำงานนานๆ  บางคนทำการขายประกันมา 25 ปีบ้าง 20 ปีบ้าง 15 ปีบ้าง กลุ่มคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ประสบความสำเร็จในการขายประกันทั้งนั้น ซึ่งก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ทำได้ไม่นานคือ บางคนเป็นเดือน บางคนเป็นวัน ก็ต้องถอยออกไป จึงไม่ต้องถามหาความสำเร็จของตนเอง ดังนั้น จึงอยากให้ตั้งคำถามเพื่อถามใจตนเองก่อนว่า เช่น ถ้าต้องโทรหาลูกค้าวันละ 20 รายที่ไม่เคยรู้จักกันเลย เพื่อให้มีโอกาสพบลูกค้าประมาณ 4 รายต่อวัน ทำอย่างนี้ต่อเนื่องซักหลายปี จะรู้สึกอย่างไร

ถ้าต้องยกมือไหว้ลูกค้า พูดคุยในสิ่งที่ดี ไม่ตำหนิผู้อื่นจะทำได้หรือไม่ การเริ่มทักทายผู้อื่นก่อนแม้กระทั่งพบเจอในที่สาธารณะเช่นในลิฟ หรือการให้บริการที่ต้องมาจากใจไม่ใช่แค่การกระทำเท่านั้น ตัวอย่างคำถามเหล่านี้ ถ้าตนเองสามารถที่จะยอมรับได้ ก็เริ่มขั้นตอนต่อไป แต่ถ้าตนเองรู้สึกว่าอึดอัดที่ต้องทำเช่นนั้นก็ ขอให้หยุดความคิดของการเป็นนักขายไปก่อน ทิ้งเวลาซักระยะแล้วกลับมาคิดใหม่ ถ้ายังเหมือนเดิมแสดงว่าตนเองนั้นอาจจะไม่เหมาะต่อการทำงานขายในช่วงเวลานั้น ที่สำคัญต้องมามองธรรมชาติของอาชีพก่อน การที่ลูกค้าซื้อประกันนั้นมีองค์ประกอบหลายอย่าง เช่น เรื่องของชื่อเสียงของบริษัทประกันเอง มาจากรูปแบบการประกันต่าง ๆ แต่ส่วนใหญ่ซื้อเพราะตัวแทนขายประกัน เนื่องจากความน่าเชื่อถือ ความไว้ใจ ความคาดหวังในการจะได้รับการบริการจากตัวแทนเป็นต้น

และถ้าตัวแทนทำหน้าที่ไม่ได้เต็มที่คือ ให้บริการไม่ได้เพราะติดงานอื่นอยู่ ผลก็คือลูกค้าความผิดหวัง และตัวแทนก็จะโดนต่อว่า เช่นพอต้องการขายก็เห็นหน้า พอขายได้ก็หายหน้า ดังนั้นโอกาสที่ลูกค้าจะซื้อซ้ำก็ยากตามไปด้วย ตัวเองก็ต้องวิ่งหาลูกค้าใหม่ ๆ ตลอดเวลา ในที่สุดก็เหนื่อยและเกิดภาวะท้อแท้ และสำคัญที่สุดทำให้วงการประกันนั้นไม่เติบโตมากนัก เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่ประชาชนของเขาคนหนึ่งนั้นถือคนละหลายๆ กรรมธรรม์ เป็นต้น สำหรับเส้นทดสอบใจในการทำประกันว่าตนเองจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น ขอให้ทำเช่นนี้ คือติดต่อลูกค้า หรือผู้มุ่งหวังทุกวัน แม้แต่เสาร์อาทิตย์ วันละ 10-20 ราย (สถิติการติดต่อประมาณ 10-20% ที่จะได้เข้าพบ) เพื่อพบให้ได้ประมาณซัก 2-4 รายในวันหนึ่งๆ ทำอย่างนี้ทุกวัน นำเสนอแผนงาน ผลิตภัณฑ์ อย่างนี้ ซัก 3 ปี ถ้าทำได้ เชื่อแน่ว่าคุณสอบผ่านได้อย่างฉลุย และเมื่อติดลมบน ทุกอย่างก็จะเข้าสู้ยุคของการเก็บเกี่ยว ผลผลิต ไม่เหนื่อยมากเช่นเคย และสิ่งที่ฝันไว้ก็เริ่มที่จะเป็นจริงขึ้นมาทีละอย่าง

สำหรับคำถามที่ว่าสถานการณ์ปัจจุบัน ยึดเป็นอาชีพได้หรือไม่นั้น การยึดว่าจะเป็นอาชีพได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับตนเองหรือู้ขายเป็นหลัก  เพราะเมื่อวงจรของชีวิตยังมีอยู่ คือเกิด แก่ เจ็บ ตาย และยิ่งปัญหารุมเร้าทางเศรษฐกิจมากเพียงใด คนทั่วไปเริ่มมองถึงหลักยึดที่มั่นคงให้กับชีวิต ทางเลือกก็คือการประกันชีวิต แสดงให้ห็นว่าสินค้านั้นมีความถาวรแน่นอนและบริษัทประกันต่าง ๆ ก็มีการปรับเปลี่ยนตัวสินค้า หรือรูปแบบกันตามกาลเวลา ให้เหมาะสมและสอดคล้องต่อความต้องการในแต่ละยุคแต่ละสมัย ซึ่งความคิดเหล่านี้แตกต่างจากเมื่อหลายสิบปีที่มีคนต่อต้านการประกันชีวิต เพราะทัศนคติที่ผิด ๆ ว่าเป็นสาปแช่งบ้าง พูดสิ่งที่ไม่เป็นมงคลบ้าง เป็นต้น

ในปัจจุบันนอกจากการยอมรับของสังคมในเรื่องของการประกันชีวิตแล้ว ในเรื่องของต้นทุนการทำงานก็ลดลง เพราะเทคโนโลยี เช่นการสื่อสารผ่านโทรศัพท์ เมื่อก่อนโทรกันนาทีละแพง ๆ มาก เช่นโทรไปต่างจังหวัด แต่ปัจจุบัน โทรกันทั้งวัน ทั้งคืน ก็เหมาจ่าย อย่างนี้เรียกว่าตัวช่วยมีมาก จึงเหลืออยู่ที่ใจเท่านั้น ว่าจะสู้หรือไม่ หรือชอบงานขายเพียงใด และเมื่อคิดแล้วแล้วก็ต้องพยายามเดินไปให้ถึงเส้นทางที่วางไว้ ยากบ้าง เหนื่อยบ้าง ท้อแท้บ้าง ขอให้อดทนและมีความพยายามให้มากเข้าไว้ เอาใจช่วยครับ และอย่าลืมส่งข่าวด้วยนะครับสำหรับการตัดสินใจ ขอให้โชคดีครับ !

เขียนโดย : ใบตองสองสี
ลงโดย : www.stepplustraining.com

 

Loading

UA-75256908-1